วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก หลายๆคนอาจคิดว่าเป็นการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังเฉพาะจุด คิดว่าไว้สำหรับลดส่วนขา ลดส่วนอื่นก็ไม่ได้ ซึ่งขอบอกเลยว่าความคิดเหล่านี้ไม่จริง เพราะ วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก เป็นการลดไขมันในทุกส่วนของร่างกาย ทำไมถึงเป็นแบบนั้นและทำไมถึงบอกว่าการลดไขมันเฉพาะจุดไม่มี การลดไขมันหรือลดน้ำหนักเฉพาะเจาะจงเป็นจุดๆนั้นไม่มี เนื่องจาก ไขมันคือพลังงานที่เหลือจากการใช้งานจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมเอาไว้ ถ้าปริมาณอาหารที่เรารับประทานเข้าไปสมดุลกับพลังงานที่เราใช้ ก็จะไม่มีการสะสมพลังงานในรูปไขมัน

ปอมีข่าวกิจกรรมดีๆ สำหรับคนชอบปั่นจักรยานมาบอก นั้นคืองาน บางกอก ไครทีเรี่ยม (BANGKOK CRITERIUM‬) 2015 ที่จะจัดในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2558 ที่ถนนราชดำเนิน งานนี้คนชอบจักรยานไม่ควรพลาด




ดังนั้นการที่เราปั่นจักรยานเพื่อลดน้ำหนัก ก็คือการใช้พลังงานจากร่างกายทั้งหมดนั้นเอง เมื่อปริมาณไขมันลดลงก็จะลดเหมือนกันทุกๆส่วน แต่การเห็นผลอาจจะเห็นได้ชัดเจนในส่วนที่มีการสะสมได้น้อยก่อน ส่วนบริเวณหน้าท้อง ต้นขา ที่มีการสะสมอยู่มากอาจจะทำให้เห็นผลได้ช้า เพราะการที่ลดช้าทำให้หลายๆคนคิดว่าการออกกำลังกายไม่ได้ผลและก็เลิกไป
วิธีการปั่นจักรยานเพื่อลดน้ำหนัก มี 3เรื่องที่เราควรรู้ก่อนเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก
1. เพราะอะไรขี่จักรยานออกกำลังกายแล้วน้ำหนักไม่ลด ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า น้ำหนักเรา= FAT MASS(ไขมัน)+ Lean Body Mass (กล้ามเนื้อ) ดังนั้นถ้าน้ำหนักที่เราลดไปทุกๆกิโล ก็ต้องเกิดจากไม่กล้ามเนื้อหายไปก็เป็นไขมัน ดังนั้นบางคนที่น้ำหนักลงช้าหรือไม่ลงก็อย่าเพิ่งท้อ แต่ให้สังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกายแทน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหรือไม่ อย่าไปสนใจแต่ตัวเลขบนตราชั่งเพียงอย่างเดียวเพราะสิ่งแรกที่คนอื่นมองเห็นเราคือรูปร่างไม่ใช่ที่น้ำหนัก




2. อัตราการเต้นของหัวใจมีผลต่อการเผาผลาญไขมัน ยังไง ถ้าต้องการลดน้ำหนัก เราต้องออกกำลังกายเป็นประจำควบคู่กับการกินอาหารที่มีประโยชน์ อัตราการเต้นของหัวใจมีผลต่อการเผาผลาญไขมันได้   โดยถ้าเราต้องการลดน้ำหนัก เราต้องตั้งเป้าให้หัวใจทำงานประมาณ 50-80 เปอร์เซ็น ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด สาเหตุที่เราต้องมีอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมาย ก็เพราะว่า ถ้าเกินกว่านี้นอกจากจะลดน้ำหนักแล้วอาจลดมวลกล้ามเนื้อด้วย สูตรคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดโดยการเอาอายุของเราลบออกจาก 220 เช่น ถ้าเราอายุ30= 220-30 =190 ดังนั้นช่วง60-90%จะเท่ากับ 114-171
ระดับการเต้นของหัวใจกับประเภทการออกกำลังกาย
– อุ่นเครื่อง อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 50% – 60% ออกกำลังกายแบบเบามาก ช่วยในแง่ฟื้นฟูสภาพร่างกายเป็นสำคัญ ใช้ลดน้ำหนักได้เล็กน้อย เวลาออกจะรู้สึกสบายไม่เหน็ดเหนื่อย
– เผาผลาญไขมัน อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 60% – 70% ออกกำลังกายแบบเบา ช่วยลดน้ำหนักไขมันส่วนเกินได้ดีที่สุดและเพิ่มความแข็งแรงทนทาน เวลาออกจะรู้สึกเหนื่อยเพียงเล็กน้อยแค่เหงื่อซึมๆ Zone นี้เหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกินมากที่สุด พลังงานที่ใช้ออกกำลังจะดึงมาจากไขมันส่วนเกินในร่างกาย
– เพิ่มความอดทน อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที 70% – 80% ออกกำลังกายแบบปานกลาง ช่วยเพิ่มความฟิต (Aerobic fitness) จะรู้สึกตึงเล็กน้อย มีเหงื่อออกมากขึ้น ยังสามารถพูดเป็นประโยคได้ การออกใน Zone นี้ สามารถลด ไขมัน น้ำตาล และลดน้ำหนักได้ เป็น Zone ที่ได้ประโยชน์ที่สุดเหมาะกับคนทั่วไปที่ต้องการออกกำลังเพื่อสุขภาพ
– การฝึกสำหรับนักกีฬา อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที 80% – 90% ออกกำลังกายแบบหนัก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการออกกำลัง จะรู้สึกเหนื่อย พูดได้เป็นคำๆ หายใจเร็ว มีการตึงล้าของกล้ามเนื้อ เหมาะกับนักกีฬาหรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการเพิ่มความทนให้กลับกล้ามเนื้อและการออกกำลังกาย
– ออกกำลังกายแบบเต็มพิกัด 90-100% ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการออกกำลัง และความเร็ว จะรู้สึกเหนื่อยมาก พูดขณะอกกำลังได้ลำบาก หายใจเร็ว มีการตึงล้าของกล้ามเนื่อได้มาก เหมาะสำหรับการฝึกซ้อมนักกีฬาที่เตรียมแข่งขัน





3.ดื่มน้ำให้มากและทานเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่ออะไร การดื่มน้ำจะช่วยทำให้ร่างกายเร่งอัตราการเผาผลาญได้ง่ายขึ้นนะครับ  ในสภาวะที่ร่างกายขาดน้ำจะไม่พร้อมทำอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าสร้างกล้ามเนื้อหรือลดไขมันก็ตาม และเครื่องดื่มเกลือแร่จะช่วยเติมเกลือแร่ที่เราเสียไปกับเหงื่อ เพราะการขาดเกลือแร่อาจทำให้เกิดอาการตะคริวและอื่นๆได้ และที่สำคัญระหว่าง Cardio ก็ควรดื่มน้ำอีก 1.5ลิตร หรือว่าขวดใหญ่เพื่อขับของเสีย(น้ำดืมที่สะอาดและปลอดภัยเราดูยังไง), ขับ Sodium ส่วนเกินและให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่ เครื่องดื่มเกลือแร่จะกินแบบหลังปั่นหรือจะผสมน้ำดื่มระหว่างปั่นก็ได้ตามความชอบ








เครื่องดื่มเกลือแร่

วิธีการปั่นจักรยานลดความอ้วนที่เราจะพูดกันวันนี้มี 2 อย่าง คือ
1. คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น เดิน ปั่นจักรยาน เต้นโดย การออกกำลังกายรูปแบบนี้ จะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่เน้นการใช้พลังจากมัดกล้ามเนื้อไม่เน้นหนัก แต่มุ่งเน้นไปที่การขยับเขยื้อนร่างกายและระยะเวลาซึ่งมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ออกกำลังกายได้45-60 นาที
2. อินเทอร์วอล คือการออกกำลังที่มีความแปรปรวน ของ ความเร็วและความหนักหน่วงตลอดเวลา เช่น การปั่นเร็ว 30 วินาที และปั่นช้า 90 วินาที แล้วทำซ้ำ แบบนี้ 10-15 นาที



ขั้นตอนก็ง่ายๆดังนี้
1. ยืดกล้ามเนื้อ (stretching) ตามปกติ
2.วอร์มอัพด้วยการเริ่มปั่นเบาๆ 5 นาที เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงนาทีที่ 5 ให้ Heart Rate (HR) อยู่ที่ 60% – 70% ของ MHR
3. เมื่อเข้านาทีที่ 6 ให้คุณปั่นสุดแรงเกิด (sprint) ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ต้องกับให้ถึงสุดแรงเกิดจริงๆ แต่ดูที่ HR ให้อยู่ที่ 80% – 90% ของ MHR ปั่นให้เร็วสุดๆแบบนี้ 20 วินาที
4. เมื่อครบ 20 วินาที ให้ผ่อนลงมา แล้วปั่นตามอัตราปกติ 1 นาที
5. เมื่อปั่นตามอัตราปกติครบ 1 นาที ให้ทำตามวงจรในข้อ 3 และ 4 ใหม่
6. ทำเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้เกิน 10 – 15 นาที (ย้ำว่าไม่ควรเกิน 15 นาที)
7.คูลดาวน์ โดยผ่อนลงมา ค่อยๆ ปั่นให้ช้าลงๆ ประมาณ 5 นาที สำหรับมือใหม่ ในครั้งแรกให้ลองทำแค่ 4 – 5 วงจรก็ แล้วสักระยะแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละรอบ แต่อย่าให้เกิน 15 นาที และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกายนาน ดังนั้นในหนึ่งสัปดาห์ทำสัก 3 ครั้งก็พอ
มือใหม่เริ่มปั่นจักรยานแบบไหนอย่างไรดี
เลือก คาร์ดิโอ – มีเวลาว่างเหลือ – เพิ่งเริ่มออกกำลัง
เลือก อินเทอร์วอล – อยากเผาผลาญแคลอรี่อย่างรวดเร็ว – เวลามีจำกัด
วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก สำหรับมือใหม่ มีหลักการที่สำคัญและไม่ควรลืมเลยคือ วอร์มอัพ และคูลดาวน์ เพื่อไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บและควรค่อยๆเพิ่งระยะเวลาและความแรงในการปั่น ต้องมีการปั่นที่สม่ำเสมออย่าพยายามมุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนักอย่างเดียวจนลืมนึกถึงสุขภาพ และควรทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ทำแบบนี้สักเดือน รับรองมีคนทักคุณแน่ไปทำไรมาถึงดูดีขึ้นครับ



สิ่งสำคัญอีกอย่างในการออกกำลังการคือเครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำดื่มที่ควรสะอาด
และการดื่มน้ำยังช่วยในการลดน้ำหนักได้ด้วย




Continue Reading